Venice (รอบสาม) + Provence + Mediterranean

“วันนี้เราจะไปขึ้น Big Airplane กันแล้วนะจ๊ะ” มามี้ปลุกผมแต่เช้า ที่โรงแรม Hilton San Diego
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของ Big Family Trip กับคุณปู่คุณย่า คุณอาตาล อาจาว อาบิ๊ก พี่บอนเน่ และน้องเควิน

ออกมาเที่ยวอาทิตย์นึง ผมชักอยากจะกลับบ้านเสียแล้ว ไม่อยากนอนโรงแรมแล้วครับ
แต่มามี้บอกว่า เดี๋ยวไปยุโรปก่อน แล้วค่อยกลับบ้าน
ขณะที่ผมยังงัวเงียๆ คุณย่าก็มาพร้อมกับแด๊ดดี้ที่เพิ่งลงไปเอาของที่ที่จอดรถ เราร่ำลากัน ผมสวัสดีคุณย่า
แล้วพวกเราก็แพ็กกระเป๋าออกเดินทางไป Airport

 

ระหว่างทาง แวะเอายาของแด๊ดดี้ที่ CVS
แด๊ดดี้เช็คแล้วเห็นว่าสาขาใกล้บ้านไม่มียา ต้องไปเอาอีกสาขาหนึ่ง
พอไปถึงปรากฏว่าเค้าบอกว่าไม่มี ต้องไปเอาอีกสาขาอีกที
ซึ่งก็เป็นสาขาที่เมื่อคืนตอนไป drive-thru แต่เมื่อคืนเค้าบอกว่า ไม่มียา
พอไปถึง แด๊ดดี้จำหน้า pharmacist ได้ เลยถามเค้าว่าทำไมเมื่อคืนมาเอาแล้วบอกว่าไม่มี แต่วันนี้กลับมี เค้าขอโทษแล้วบอกว่าเมื่อคืน manager ไม่ให้จ่ายยา
บอกว่า Something doesn’t seem right

อ้าว…ทำเราเสียเวลาเปล่าเป็นอย่างยิ่งเลย ต้องขับรถไปๆมาๆ แล้วยังมาโกหกเราซะอีกว่าไม่มียา
ถ้าบอกตรงๆว่า Something doesn’t seem right. เราจะได้ให้เค้า confirm กับหมอ หรือ รพ. ก็ได้
ถ้าจะมองโลกในแง่ร้าย…อาจจะเป็นเพราะว่ายาสมาธิสั้นของแด๊ดดี้ ใช้เวลาเตรียมยา นาน ครึ่งชม.ถึงสองชั่วโมง แต่เมื่อคืนเราไปตอนเค้าใกล้จะปิดแล้ว เค้าอาจจะอยากกลับบ้าน ก็เลยไม่จ่ายให้ละมั๊ง

หลังจากขับรถไปมา และก็รอเกือบชั่วโมง ทุกอย่างก็เรียบร้อย แล้วเราก็ออกเดินทางต่อ เพื่อไป LAX Airport

เราคิดว่าโชคดีที่เมื่อคืนเช็คอินเรียบร้อยแล้ว มีอีเมล์มาคอนเฟิร์มว่ามี Mobile Boarding Pass ของทุกคน และให้ไป drop กระเป๋าอย่างช้าสุดหนึ่งชั่วโมงก่อนเครื่องออก

พอไปถึง Counter Lufthansa ตอนแรกเค้านึกว่าเราเป็น First-Class ก็โอเค
แต่พอเห็นว่า Economy อ้าว…งั้นต้องถาม Superviser ก่อนนะ ว่ายังให้ขึ้นไหม
สักพักพนักงานก็บอกว่า Supervisor ไม่ให้ขึ้น Gate อยู่ไกล เรามีเด็กด้วย มีกระเป๋าด้วย ไปไม่ทันหรอก…

ทั้งๆที่เหลืออีกตั้งชั่วโมง แต่เค้าก็ยืนยันว่า ปิดไปตั้งแต่ 90 นาที ก่อนเครื่องออกแล้ว
แล้วก็หาข้อมูลเช็คอินเราไม่เจอด้วย
ไม่ว่าเราจะโชว์อีเมล์เท่าไหร่ เค้าก็บอกว่า แต่ในระบบเค้า เค้าไม่เห็น (ระบบแย่มากไม่ sync กัน แล้วยังงี้จะเสียเวลา check-in online เพื่ออะไรเนี่ย)

หลังจากวุ่นวายอยู่นาน งงๆ และมีคนมาตกเครื่องบินเป็นเพื่อนอยู่เพิ่มอีก
มามี้โทร.ไป United (เพราะเราซื้อตั๋วผ่าน United)

เจ้าหน้าที่ของ United พยายามจะช่วย มีทางเลือกคือ
1. ให้เราไป flight วันถัดไป แต่นั่นหมายความว่าเราต้องอยู่ LA อีกวันหนึ่ง (ซึ่งเราไม่อยากอยู่แล้ว)
2. ไป Swiss Air แทน แต่เค้าทำไม่ได้ เพราะต้องใช้เวลามากกว่า 24 ชม.

แด๊ดดี้เลยบอกว่า งั้นไปลง Munich แล้วนั่งรถไฟหรือขับรถไป Venice เองก็ได้
เจ้าหน้าที่เช็คแล้วบอกว่า ถ้าทำแบบนั้น ต้องจ่าย 5000 USD!

เค้าแนะนำให้เราไปที่ Counter ของ United ที่สนามบิน ซึ่งเราน่าจะได้ฟรี เพราะว่าเป็นความผิดพลาดของระบบ Lufthansa System Failure

พอไปที่ United Ticketing Counter เราพยายามหาคนหน้าตาใจดี และก็ได้พนักงานชื่อ ฟรีนี่ ใจดีจริงๆ
มาบริการอย่างดี จัดให้เราไป Swiss Air แทน แบบง่ายๆสบายๆ ไม่เสียเงินเพิ่ม
สรุปว่า ขึ้นกับคนจริงๆ พนักงานบางคนทำได้ บางคนบอกทำไม่ได้แน่นอน บางคนให้ บางคนไม่ให้ หาความแน่นอนไม่ได้เลย
ทาง Swiss Air บอกว่า จริงๆแล้วเค้า Overbooked อยู่นะ เราก็งงเหมือนกันว่า แล้ว United มายัดเราเพิ่มเข้าไปตั้ง 4 คนได้อย่างไร

เราจึงได้ข้อสรุปว่า Lufthansa ก็ Overbooked เหมือนกัน เวลาที่เราไปถึง เค้าคงเอา seats เราให้คนอื่นไปแล้ว และ flight เต็มแล้ว เค้าก็เลยปิด…ใครมาหลังจากนี้ ก็อดไป ต้องไป flight วันถัดไปแทน …
พอเราไปถึง เค้าก็เลยแถไปแถมา

สนามบิน&

ณ สนามบิน

 

โชคดีของเรา… เราไปคืนรถ กินข้าวเย็น Curry Rice สบายๆ ได้บริการที่ดีจาก Air Swiss
ได้ที่นั่งดีมาก เป็นที่ที่ leg room เยอะพิเศษ ติดกับ Business Class และมี baby bassinet ให้น้องนอนด้วย (ถ้าไป Lufthansa ได้ที่ตรงกลาง 3 ที่ ขยับไปไหนไม่ได้เลย ต้องเอาน้องนั่งตักตลอดไฟลท์)
ที่สำคัญ…เราได้ free babysitting service on board!
อะ…ล้อเล่นครับ … ที่นั่งเราแยกออกเป็น 1x  11yz
แต่คนที่นั่งตรง x ชื่อ สตีเฟ่น ซึ่งมา skydive ที่อเมริกา เค้ายอมย้ายไปที่ window seat … แล้วเค้าก็ชวนผมคุยสนุกสนาน
ผมก็ช่างจ้ออยู่แล้ว สักพักผมก็ไปนั่งกับเค้าเองเลย ไปนั่งเล่นของเล่นที่พนักงานเอามาแจก เอา cubic งับๆเค้า เค้าก็เล่นกับผมใหญ่เลย
คุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้
สตีเฟ่นสอนภาษาเยอรมันให้ผมด้วย ผมก็สอนภาษาอังกฤษเค้า
มามี้แด๊ดดี้ที่กำลังเหนื่อยอย่างถึงที่สุด ก็เลยได้นั่งพักหลายเฮือก
ผลบุญที่สตีเฟ่นทำ ทำให้เค้าได้รับการอัพเกรดไปนั่ง Business Class เพราะพนักงานคงจะเห็นใจ เห็นเด็กเยอะ และ Swiss Air ก็คงจะเน้นให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีในการนั่งเครื่องบิน
แต่เค้าก็ยังกลับมาบ๊ายบายผมอีก

เราไปถึงเวนิส เวลาค่ำแล้ว ฝนก็ตกด้วย เราขึ้น Water Taxi ไปยัง Ca’ Del Fontego ซึ่งเป็นบ้านพักริม Grand Canal ที่เราเช่าไว้ แบบรายสัปดาห์

ตอนแรกที่เช่า มามี้นึกภาพ ตามที่คนรีวิวได้บรรยายเอาไว้ ว่านั่งเรือมาเทียบท่าหน้าคฤหาสอันหรูหราริม Grand Canal แล้วเปิดประตูหนาหนักอายุหลายร้อยปี เดินเข้าคฤหาส ดั่งฉากในหนัง James Bond 007

แต่เปล่าเลยจ้ะ เนื่องจากน้ำขึ้นสูง เรือต้องอ้อมไปส่งเราด้านหลัง … พวกเราเลยต้อง ลากๆๆๆๆ กระเป๋า ไปตามตรอกเล็กๆ ขึ้นลงสะพาน ฝ่าน้ำเจิ่งนอง ยามค่ำคืน เพื่อไปเข้าทางด้านหลัง

Ca’ Del Fontego เป็นอพาร์ตเม้นท์ส่วนหน้าของคฤหาสต์เก่าแก่ของเวนิส ที่อยู่ติดกับ Natural History Museum  โดยห้องของเราอยู่ชั้น ground floor ซึ่งสมัยก่อนเค้าเอาไว้เก็บของ (แหะๆ) โดยพวกเจ้านายจะอยู่ชั้น 1st Floor จะได้ไม่ต้องหนีน้ำท่วม

แต่สำหรับเราแล้ว ชั้น Ground Floor นี่แหละ วิวดี สัมผัสเวนิสอย่างแท้จริง นั่งอยู่ในห้องมองออกไปก็เห็นเรือแล่นไปมา โดยไม่ต้องเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองลงมา 🙂

ห้องนี้มีขนาดประมาณ ร้อยกว่า ตารางเมตร มีส่วนที่นอนได้สองส่วน มีห้องน้ำสามห้อง มีเครื่องซักผ้า และ ครัว พร้อม

จากคำบอกเล่า เจ้าของห้องเป็นศิลปิน จึงมีรูปวาดที่เจ้าของวาดเอง ติดตามผนังห้อง อย่างสวยงาม

เขา renovate ห้องเก่าหลายร้อยปีซะใหม่เอี่ยม โดยยังคงรักษาความงามที่มีมาแต่ดั้งเดิมเอาไว้ เช่นอิฐเปลือย (ของแท้ หลายร้อยปีมาแล้ว แต่กัดและทาสี ให้เข้ากับโทนอ่อนๆของห้อง – สวยมาก) และ wooden beam คานไม้บนเพดาน ให้ความรู้สึกโบราณสะใจ แต่ก็สะดวกสบายโมเดิร์นและหรูหราไปในคราเดียวกัน

ห้องน้ำมีห้อง Turkish Bath ซึ่งคือ steam sauna และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

สรุปคือพวกเราชอบมากๆ ไม่ผิดหวัง

คืนแรกนั้นเรายังปรับเวลากันไม่ค่อยจะได้ เด็กๆหลับๆตื่นๆ แต่พอเช้าปุ๊บ พวกเราก็ออกเดินทาง explore เมือง ทันที  เป้าหมายในวันนี้คือ จัตุรัส ซาน มาโค่ อันลือเลื่อง

วันที่เราไปเป็นวัน Easter บรรยากาศดูแปลกตาไปกว่าสองครั้งแรกที่เคยมา เนื่องจากคนท้องถิ่นหยุดงานไปเที่ยว ทำให้ร้านรวงปิดซะเป็นส่วนมาก และคราวนี้เราเลือกพักย่าน Santa Croce (ซานตา โครเช่) ซึ่งเป็นย่านที่คนท้องถิ่นอยู่เยอะพอสมควร ทำให้เวนิสคราวนี้ ยิ่งเงียบสงบเข้าไปอีก

พวกเราเดินลัดเลาะ ตรอกแคบๆ เลี้ยวซ้ายๆขวาๆ ก็มาโผล่ที่ ท่าเรือข้ามฟาก Traghetto ที่พวกเราหมายมั่น จะข้ามไปขึ้น Vaporetto (รถเมล์น้ำ) ซึ่งค่าข้ามนั้นไม่แพง ไม่ถึงยูโร แต่ แต่ แต่…

มันปิดจ้า… คาดว่า ปิดช่วงอีสเตอร์ … เฮ้อ …

พวกเราก็เลยต้องเดินไกลกว่าที่ควรจะเป็น เพื่อไปขึ้น รถเมล์น้ำ Voporetto อีกป้ายนึง

เป็นบทเรียนอีกครั้ง ว่าการมาเที่ยวในช่วงวันหยุด … ฝรั่งเขามักจะปิดร้าน (;_;) ไม่ว่าจะเป็นวันคริสมาสต์ หรือ อีสเตอร์ ก็ตาม

การเดินทางในเวนิส นั้นไม่ยากเลย เข้าขั้นสะดวกสบาย มีแต่เดินๆๆ และก็ขึ้นรถเมล์น้ำ แผนที่ก็ชัดเจน ง่ายต่อการค้นหาที่ๆจะไป และคนแถวนั้น ทั้งร้านรวงและนักท่องเที่ยวต่างเต็มใจช่วยเหลือ

ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็สวยยยยย…ไปหมดทุกมุม พวกเราดูความงามจนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจากการเดินไกลๆ   สวยทุกบรรยากาศ ทุกฤดู ทั้งแบบฟ้าใส และแบบมีเมฆหมอก (ได้บรรยากาศอึมครึม เหมือนกลับไปสู่ยุโรปยุคกลางดี) ส่วนเด็กๆก็เพลิดเพลินจากการจับนกพิราบ  หรือที่จอนจอนตั้งชื่อเล่นให้ว่า พิจี้

ที่นี่รับรอง ไม่มีรถยนต์ให้ต้องกังวล ไม่มีแม้แต่รถส่งของ เพราะแม้แต่ไปรษณีย์ก็ยังใช้เรือไปรษณีย์ค่ะ

พวกเราคิดว่าโชคดีเหมือนกัน ที่มาพักแถบที่ไม่พลุกพล่าน เพราะตลอดทั้งย่าน มีจัตุรัสกว้างๆ เรียกว่า Campo อยู่มากมาย ให้วิ่งเล่น โดยไม่ต้องกลัวตกน้ำ พวกเราปล่อยให้ลูกวิ่งเล่นได้อย่างอิสระเสรี โดย Campo โปรดของเราคือ Campo ที่ตั้งของโรงแรม Scandinavia บรรยากาศดี

สนุกจริงๆ … และแล้วพวกเราก็มาถึงป้าย Vaporetto

เมื่อมาถึง ก็รอเรือมา แล้วก็ขึ้นไปเลยค่ะ จ่ายเงินบนเรือ มีพนักงานเดินเก็บ (สบายจริง ไม่ต้องต่อคิวซื้อตั๋ว) – คือเราไม่ได้บอกว่าวิธีเดินทางแบบพวกเราจะประหยัดที่สุดนะคะ แต่ยืดหยุ่นและสะดวก

ทิวทัศน์สองข้างทาง สวยงาม ตระการตา … หากเราสังเกตุแต่ละตึก เราจะสามารถบอกได้นะคะว่า ตึกนี้อายุประมาณกี่ร้อยปีแล้ว เนื่องจากสถาปัตยกรรมซึ่งต่างกันเล็กน้อย สามารถ บ่งบอกยุค ได้ค่ะ ว่าสร้างช่วงไหน ใครเป็นใหญ่

เช่นตึกนี้ เป็นแบบ บารอค

ตึกนี้ เรอเนอซองส์

ตึกนี้ Turkish

ย่านที่นักท่องเที่ยวเยอะๆ ร้านค้ายังคงเปิดตามปกติ จอนจอนขอซื้อหน้ากากซะหน่อย จัดไป 5 ยูโร ใส่ไม่ยอมถอด

แล้วเราก็พักทานอาหาร ร้านนี้ภรรยาเป็นคนไทยนะคะ มีลูกชายน่ารักๆ สองหน่อ พี่เขาโชว์ รถเข็นเด็ก สุดยอดมาก สามารถเข็นขึ้นลงสะพาน สบายสุดๆ ต่างจากรถเข็นของเรา ที่เข็นแล้วติด เข็นแล้วติด กลายเป็นต้องยกขึ้นลงสะพานตลอด  … มันเกี่ยวกับการออกแบบขนาดความยาวของรถเข็น และขนาดล้อ ที่ทำให้สามารถเข็นขึ้นได้พอดีกับขนาดขั้นบันไดส่วนใหญ่ของสะพานที่นี่ค่ะ …

เมื่อหนังท้องตึง สักพักลูกพี่หลับ สักหงกตลอดค่ะ เนื่องจากปรับเวลายังไม่ได้ ที่อเมริกา ตอนนี้ก็ปาเข้าไปตีสาม

เราแวะซื้อเสื้อทีม อิตาเลีย แล้วก็กินเจลาโต้ อร่อยมากๆ อร่อยทุกร้าน กินกันทุกวัน ตลอดทริป

เนื่องจากแด๊ดดี้ใส่ Crocs มานานเป็นปีแล้ว จึงได้เวลาซื้อรองเท้าใหม่ หนังนิ่ม Made in Italy … ข้าพเจ้าก็ได้อานิสงค์ ได้มาด้วยหนึ่งคู่

มีเครื่องแก้วน่ารัก ให้ดูเรื่อยๆ

 

 

เสียอย่างเดียว ที่เราคิดว่า อาหารไม่ค่อยอร่อยค่ะ สู้แถบ Tuscany ไม่ได้ แต่ก็มีอาหารที่ Londra Palace ก็อร่อยนะคะ บ๋อยน่ารักด้วย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นกลับไปอีก อ้อ แต่เค้กร้านนี้อร่อยมาก

มีร้านแนะนำ ที่ใครๆก็ต้องไปกิน นับเป็นร้านอันดับหนึ่งของเวนิส คือร้าน La Zucca

This entry was posted in Uncategorized. Bookmark the permalink.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *