พ่อและตาที่ดีที่สุดในโลก

ตั้งแต่คุณพ่อจากไป ครบหนึ่งปีแล้ว มิ้งค์ยังคิดถึงคุณพ่อเสมอ

ทุกครั้งที่มีเรื่องดี หรือเรื่องที่ต้องการที่พึ่งพิง จะนึกถึงคุณพ่อ ด้วยความสุขปนเศร้า ชีวิตแต่ละวันต้องอดทน เข้มแข็งมาก ต่างกับตอนคุณพ่อยังอยู่เหลือเกิน

ใช้เวลาถึง 6 เดือนในการที่จะพอทำใจได้บ้าง พอจะมีชีวิตอยู่โดยไม่ทรมานใจนัก ทั้งตอนหลับตอนตื่น คิดถึงตลอดเวลา คุณพ่อคือความทรงจำที่มีความสุข

อยากย้อนเวลากลับไปแล้วบอกคุณพ่อว่า ไม่เป็นไรนะคะ เราจะพยายามรักษา แต่ถ้ารักษาไม่ได้จริงๆ ถ้าเดินไม่ได้มิ้งค์ก็จะเข็น ถ้ากินไม่ได้ก็จะป้อน เราก็จะยังมีความสุขกัน

จากที่เคยไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ

กลับสงสัยว่า หรือจะเป็นไปได้จริง อย่างน้อยคงจะมีพลังงานบางอย่างหลงเหลืออยู่ในโลกใบนี้ โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ

ในวันที่คุณพ่อเสีย คืนนั้นก่อนคุณพ่อเสีย มิ้งค์ตื่นมาตอนตีสาม (ห้าโมงเย็นเมืองไทย) รู้สึกไม่สบายใจมาก คิดว่าชีวิตแบบนี้มันไม่ไหวแล้ว เป็นชีวิตที่ไม่มีเวลาให้ใครเลย มีแต่งานๆๆ
แต่ดันเจอว่ามีงานทำ ต้องซ่อมแอพที่เสีย และคนดันใช้เยอะมากช่วงนั้นพอดีเพราะมีดารามาใช้แอพ ทำให้คนใช้ตาม
ตอนตีห้า หกโมง จอนจอนตื่นมาร้องไห้
เช้าก็ไปส่งจอนจอนแล้วกลับมาทำงานต่อ
ไม่ได้เช็คโทรศัพท์เลย และลืมไว้ในรถ

เช้านั้นตอนอ่านอีเมล์คุณพ่อ มีความรู้สึกใจหายแปลกๆ ยังอ่านให้โอ๊ตฟังแล้วบอกว่า ทำไมรู้สึกเหมือนสั่งเสีย ยังไงพิกล

แล้วนิกก็โทร.มา… โอ๊ตรับ แล้วบอกว่านิกโทรมา

ใจหาย กังวล

นิกถามว่า ทำอะไรอยู่ ไม่ได้ขับรถอยู่ใช่มั้ย

แล้วก็บอกว่า “ทำใจดีๆนะ…แม่บอกว่า พ่อจมน้ำเสียแล้ว”

วินาทีนั้น เป็นวินาทีที่ช็อคมากร้องเสียงดังมาก กังวลอยู่ว่าพ่อเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นข่าวร้ายขนาดนี้ นิกก็ร้องไปด้วย

มิ้งค์บอกว่า เพิ่งคุยโทรศัพท์กับพ่อเมื่อวันอังคารเอง และกำลังอ่านอีเมล์พ่ออยู่เลย

โอ๊ตถามเกี่ยวกับรพ. มิ้งค์ต้องบอกด้วยปากว่า “เสียแล้ว” ซึ่งโอ๊ตก็ผงะไปเช่นกัน

คุณพ่อคงจะรู้ตัวอยู่บ้างแล้ว ว่าใกล้ถึงเวลา แต่ไม่อยากให้เราเป็นห่วง จึงคอยกินยาเยอะ และพยายามไม่บอก ไม่บ่น แต่ได้พยายามเก็บเกี่ยวเวลาร่วมกัน ถ่ายภาพร่วมกัน ซื้อภาพถ่ายครอบครัวที่ราคาสูง พยายามไปเที่ยวด้วยกัน เน้นให้มิ้งค์ซื้อพวงมาลัยมาไหว้ ทั้งพ่อและแม่ในวันแม่สุดท้ายปีนั้น

คุณพ่อคงรู้ว่า หากตัวเองไม่อยู่แล้ว มิ้งค์จะทำใจได้ยากยิ่ง จึงพยายามให้ใช้เวลาร่วมกัน และให้ไหว้พ่อในวันแม่ด้วย

คุณพ่อบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อ พ่อภูมิใจ และ รักมาก

อีกทั้งอวยพรวันเกิดมิ้งค์ โดยอีเมล์มาตามว่า อ่านเฟสบุ้คหรือยัง

เป็นที่น่าเสียดายมาก ว่ามัวแต่ทำ startup ทำให้ไม่ได้มีเวลากับพ่อ กับคนที่เรารักที่สุดในชีวิต

ไม่งั้นจะดีใจมาก ถ้าอยู่ไกลกัน แต่มีพ่อให้คอยแชทด้วยตลอด

มีพ่อให้ปรึกษาตลอด ต่างกับตอนเพิ่งคลอดจอนจอนที่ไม่มีใครตอบอีเมล์เลย เพราะคุณพ่อยุ่งทำคลอดประกันสังคมเยอะมากๆในช่วงนั้น

แต่ตอนนี้เรากลับยุ่ง จนไม่ได้เช็คเฟสบุ้ค เช็คอีเมล์ เช็คไลน์ โดยบอกพ่อว่า ไม่ค่อยได้เช็คเฟสบุ้คนะคะ ให้ส่งอีเมล์มาแทน จะอ่านมากกว่า …

การทำงานจนยุ่ง เป็นบ้าแบบนี้ ทำให้ไม่ได้มีสติสัมชัญญะที่จะรู้ว่า พ่อเราเป็นหนักขนาดไหน หกล้ม แล้วน่าเป็นห่วงเพียงใด ตั่วโกว ยังร้องไห้ที่พ่อล้ม

แต่เมื่อพ่อบอกว่าหกล้ม มิ้งค์เพียงถามว่า เจ็บมั้ยคะ

พ่อตอบว่า ไม่เจ็บหรอก อายมากกว่า

ทั้งๆที่เราควรตกใจ และรีบกลับไปหา หรืออย่างน้อยก็คุยกันมากกว่านี้

โทรศัพท์ที่คุยกันครั้งสุดท้ายนั้น คุณพ่อยังถามว่า “แล้วมิ้งค์ทำงาน หนักมั้ย เหนื่อยมั้ย” ด้วยความเป็นห่วงเหมือนทุกครั้ง

ยังคุยบอกคุณพ่อว่าพวกเราได้รางวัลใหญ่จากงานโมเดลรถไฟ จากการคิดบวก

ให้คุณพ่อมีความหวัง ถ้าคิดว่าจะหาย อาจจะหายก็ได้ เหมือนที่เราคิดว่า เราจะได้รางวัลแล้วก็ได้จริง

แล้วยังบอกว่า ดูวิธีรักษาแบบใหม่ๆไว้บ้างแล้ว ส่งไปให้คุณพ่อดูแล้ว แทนที่จะหาข้อมูลมากกว่านี้ แล้วพาคุณพ่อมาลองรักษา

ไม่อยากให้ใครต้องมาซ้ำรอยชีวิตแบบนี้ ที่เสียใจอย่างไม่มีวันกลับไปแก้ไขได้
มีแผลในใจนี้และรู้สึกผิดตลอดไป
จากตอนเรียนมีปัญหากับพ่อเรื่องความเข้มงวด
อยากได้อะไร พ่อก็แอบซื้อให้ ตอนแรกซื้อของปลอมให้ เพราะสำหรับพ่อ คิดว่าเหมือนกัน
แต่สักพัก ก็ซื้อของจริงให้อยู่ดี
ไปทำงานเดนมาร์ก คนบอกว่า เค้าลือกันว่ามิ้งค์หนีพ่อไป
จริงๆไม่ใช่เลย แค่ชอบผจญภัย ชอบอะไรใหม่ๆ

วันที่สามหลังจากคุณพ่อเสีย เป็นคืนแรกที่มิ้งค์กลับจากอเมริกาและไปงานคุณพ่อ พวกเรายัง Jet Lag มากๆ หลังเลิกงานก็ไปส่งคุณแม่และนิกที่คอนโด ระหว่างทางกลับบ้าน เหนื่อยมากจริงๆ

มิ้งค์และโอ๊ตหลับในไปหลายรอบทั้งสองคน ง่วงมากๆ โอ๊ตตีหน้าตัวเองหลายครั้ง

อันตรายมาก

ถ้าคุณพ่ออยู่ คงจะบอกว่า รีบกลับไปนอนเถอะ พ่อกลับเองได้ แม้แต่ตอนที่ไปหาคุณพ่อที่สมิติเวช เราจะขับรถไปส่งคุณพ่อที่คลีนิก (จะได้อยู่ด้วยกันอีกนิด) คุณพ่อก็ไม่ยอม กลัวลูกจะลำบาก เหนื่อย พ่อยอมเหนื่อยเอง

ถ้าคืนนั้นคุณพ่อนั่งมาด้วย คงจะคอยเตือนว่า ห้ามง่วงเด็ดขาด จับสองมือ ฯลฯ

มิ้งค์เหลือเชื่อมากว่าคืนนั้นเราสองคนกลับมาได้ถึงบ้าน เพราะอันตรายและไกลจริงๆ

แต่โอ๊ตบอกว่า อยู่ดีๆก็รู้สึกตื่นขึ้นมา เหมือนมีพลัง ที่คุณพ่อส่งมาให้

พอเรากลับมาถึงบ้าน เปิดบ้านเข้ามาปุ๊บ หมาหอนมากกกก หอนกันเกรียว จนขนลุก … จะพูดเลยก็ไม่กล้าพูด

จนเช้า จึงค่อยคุยกับโอ๊ต ซึ่งก็คิดเหมือนกันว่า​…สงสัยคุณพ่อมาส่งที่บ้าน

โดยคืนนั้นเป็นคืนเดียว ที่หมาหอน…

______________________________

เมื่อครบหนึ่งปี พวกเราจุดธูปไหว้คุณพ่อ และตั้งรูปคุณพ่อไว้

เราไหว้ในบ้าน ปิดหน้าต่าง ไม่มีลม

ขณะเรากำลังคุยกับคุณพ่ออยู่นั้น รูปคุณพ่อก็ตกพรึ่บลงมา

ชวนให้สงสัยว่า…หรือว่าคุณพ่อทักทาย 🙂

โอ๊ตนำธูปไปปักใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน ตามที่โอ๊ตบอกว่าเป็นความเชื่อที่นิยมทำ

 

 

 

 

 

This entry was posted in Uncategorized. Bookmark the permalink.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *